สูตรลับสีดำที่ช่วยดับกระหายและแก้ร้อนใน
หญ้าแห่งเซียนกับเรื่องราวของเฉาก๊วย
เนื้อเรื่อง‧เติ้งหุ้ยฉุน ภาพ‧หลินหมินเซวียน แปล‧ ธีระ หยาง
เมษายน 2025
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
นี่ไม่ใช่การท้าทายความกล้า และไม่ใช่อาหารลึกลับ แต่เครื่องดื่มสีดำทึบแก้วนี้คือ “เฉาก๊วย” ของแท้จากไต้หวัน ซึ่งในฤดูร้อนนิยมดื่มกันในแบบเย็น โดยเฉาก๊วยที่แช่เย็นจะมีความนุ่มหนึบหนับลื่นในปาก ส่วนในฤดูหนาวนิยมรับประทานแบบร้อน โรยด้วยถั่วลิสงแห้ง จะช่วยเพิ่มรสชาติให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น
หากต้องการสัมผัสรสชาติของไต้หวัน ก็ไม่ควรพลาด “น้ำจับเลี้ยง” ที่เหมาะกับการดับร้อนในฤดูร้อน น้ำจับเลี้ยงถือเป็นเครื่องดื่มพื้นบ้านของไต้หวัน สูตรในการปรุงอาจแตกต่างกันไปในแต่ละท้องที่ แต่ส่วนผสมสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ “เฉาก๊วย” ซึ่งถือเป็นวัตถุดิบพื้นฐานที่ต้องมีในน้ำจับเลี้ยงของทุกร้าน
ในอดีต การคมนาคมในไต้หวันยังไม่สะดวก การเดินทางของผู้คนระหว่างเหนือและใต้ต้องอาศัยการเดินเท้า ชาวบ้านบางคนจึงตั้งจุดพักริมทางเพื่อ “บริการน้ำชา” ให้กับนักเดินทางที่เหน็ดเหนื่อยและอ่อนเพลียจากความร้อน จนมีเรื่องเล่าโดยทั่วไปว่า น้ำจับเลี้ยงอันทรงคุณค่าที่ช่วยบรรเทาความร้อนนี้ ถือเป็นของขวัญจากเซียน จึงเรียกสมุนไพรที่ช่วยลดความร้อนนี้ว่า “เซียนเฉ่า (仙草)” ซึ่งมีความหมายว่า “หญ้าแห่งเซียน” แต่ในภาษาไทยมีชื่อเรียกอีกอย่างที่เราคุ้นเคยกันดีว่า “เฉาก๊วย” และนี่คือที่มาของชื่อเฉาก๊วยในตำนานนี้
พัฒนาสายพันธุ์ใหม่
น้ำเฉาก๊วยมีสีดำสนิทเป็นเอกลักษณ์ ทำไมถึงมีลักษณะสีดำเช่นนี้? เย่หย่งหมิง (葉永銘) ผู้ช่วยนักวิจัยจากสถานีวิจัยและส่งเสริมการเกษตรสาขาซินผู่ สังกัดศูนย์พัฒนาการเกษตรเขตเถาหยวน ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเซียนเฉ่าหรือเฉาก๊วย อธิบายว่า ในต้นเฉาก๊วยมีสารเจลชนิดหนึ่งอยู่ภายในเซลล์ของพืช เมื่อนำต้นเฉาก๊วยมาต้ม ผนังเซลล์ของพืชจะถูกทำลาย และสารเจลดังกล่าวจะถูกสกัดออกมา ส่งผลให้เฉาก๊วยมีสีดำเข้มอย่างที่เราเห็นนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ต้นเฉาก๊วยเองไม่ได้มีสีดำ เย่หย่งหมิงได้พาเราไปชมต้นเฉาก๊วยที่ปลูกอยู่ในแปลง พร้อมอธิบายว่า ต้นเฉาก๊วยมักเจริญเติบโตในลักษณะแผ่เลื้อยไปตามพื้นหรือกึ่งตั้งตรง รูปลักษณ์ของต้นเฉาก๊วยอาจทำให้สับสนกับต้นสะระแหน่ได้ง่าย แต่สะระแหน่จะมีกลิ่นหอม ในขณะที่เฉาก๊วยมีผิวหยาบและรู้สึกสากมือ เมื่อลองสัมผัส
ในอดีต มักจะพบต้นเฉาก๊วยได้ทั่วไปตามริมทุ่งนา แปลงผัก หรือสวนผลไม้ของชาวบ้าน ตามบันทึกโบราณระบุว่า เฉาก๊วยเป็นพืชที่มีสรรพคุณช่วยดับร้อน ดับกระหาย และใช้ประโยชน์ได้ทั้งเป็นอาหารและยา ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านจึงมักเก็บเกี่ยวเฉาก๊วยแล้วนำไปตากแห้งไว้ในบ้าน เพื่อหารายได้เสริมให้กับครอบครัว เมื่อจำเป็นก็จะนำมาต้มเป็นน้ำเฉาก๊วยช่วยดับกระหาย ในช่วงที่ต้องทำงานหนักกลางทุ่งนา ซึ่งต้องการน้ำเพื่อเติมความสดชื่นและป้องกันอาการร้อนใน เฉาก๊วยจึงถือเป็นตัวเลือกที่ขาดไม่ได้
เริ่มมีการเพาะปลูกเฉาก๊วยอย่างจริงจังในไต้หวัน ตั้งแต่ช่วงปี 1960 เป็นต้นมา โดยพื้นที่เพาะปลูกหลักจะอยู่ในแถบกวนซีของเมืองซินจู๋ ถงหลัวในเมืองเหมียวลี่ และสุ่ยซ่างในเมืองเจียอี้ ซึ่งเย่หย่งหมิง อธิบายว่า เฉาก๊วยที่ชาวไร่ผลิตส่วนใหญ่จะถูกซื้อโดยสหกรณ์เกษตร โดยเกณฑ์การรับซื้อของสหกรณ์จะพิจารณาจากน้ำหนักของเฉาก๊วยที่แห้งสนิท ดังนั้น ชาวไร่จึงมุ่งหวังปลูกเฉาก๊วยพันธุ์ที่มีความหนาแน่นและเจริญเติบโตได้ดีเพื่อให้ได้ราคาที่ดี ศูนย์พัฒนาการเกษตรฯ จึงพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของเกษตรกร
เย่หย่งหมิงยังอธิบายว่า เฉาก๊วยสายพันธุ์ “เถาหยวนหมายเลข 1” มีประวัติยาวนานกว่า 20 ปี มีลักษณะเด่นคือ ใบเป็นทรงรี ก้านสีแดง และมีเอกลักษณ์พิเศษ คือ เจลของมันสามารถจับตัวเป็นก้อนได้ดี จากนั้นเขาชี้ไปยังสายพันธุ์เถาหยวนหมายเลข 2 ซึ่งได้รับการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 2014 เรียกว่าเซียงหัว (香華) ตามชื่อที่บ่งบอกถึงความโดดเด่นด้านกลิ่นหอม เหมาะสำหรับการผลิตน้ำเฉาก๊วย ส่วนพันธุ์เถาหยวนหมายเลข 3 หรือที่เรียกว่า “เซียนฟง” เป็นสายพันธุ์ใหม่ที่พัฒนาจากการผสมข้ามพันธุ์ ระหว่างเถาหยวนหมายเลข 1 และเถาหยวนหมายเลข 2 ซึ่งมีคุณสมบัติครบถ้วน ทั้งการจับตัวเป็นก้อนของเจล กลิ่นหอม และให้ผลผลิตสูง เหมาะสำหรับการนำไปทำทั้งน้ำเฉาก๊วยและเฉาก๊วยแบบเยลลี่ ซึ่งนิยมรับประทานกันในประเทศไทย
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
เฉาก๊วยสดที่เก็บเกี่ยวใหม่จะต้องผ่านกระบวนการตากลมและปล่อยให้พักตัว เพื่อลดกลิ่นเหม็นเขียว ทำให้เฉาก๊วยบ่มตัวตามธรรมชาติ เมื่อนำมาต้มจะได้เฉาก๊วยที่มีกลิ่นหอมมากขึ้น
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
ชาชิวสุ่ยสำหรับดับร้อนและแก้กระหายเป็นเครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้ในครอบครัวของเหล่าเกษตรกรในอดีต และยังเป็นเครื่องดื่มที่พบได้บ่อยตามจุดบริการน้ำชาริมทาง
พลังแห่งลมเดือน 9 เครื่องอบแห้งตามธรรมชาติ
เฉาก๊วยเป็นพืชในวงศ์ Lamiaceae สกุลเฉาก๊วย (Mesona) มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เช่น จีน ไต้หวัน และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย โดยมักพบในพื้นที่ภูเขาที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลค่อนข้างต่ำ ในแต่ละภูมิภาคจะมีชื่อเรียกเฉาก๊วยที่แตกต่างกันออกไป ในภาษากวางตุ้งเรียกว่า “หญ้าเหลียงฟุ่น” ในแถบแต้จิ๋วเรียกว่า หญ้าเฉาก๊วย (草粿草) ชาวเผ่าไท่หย่าของไต้หวันเรียกว่า Supurekku ส่วนชาวเผ่าไผวันเรียกว่า Ryarikan ส่วนในประเทศไทย เฉาก๊วยเป็นที่รู้จักในชื่อ “เฉาก๊วย” (Chokai)
เมื่อกล่าวถึงเฉาก๊วย ก็ต้องพูดถึงบ้านเกิดของเฉาก๊วยอย่าง กวนซี เมืองซินจู๋ เฉินจิ้นสี่ (陳進喜) ผู้อำนวยการสหกรณ์เกษตรกวนซี เล่าว่า ปัจจุบันในกวนซีมีพื้นที่ปลูกเฉาก๊วยประมาณ 50 เฮกตาร์ (เท่ากับประมาณ 312 ไร่ 2 งาน) คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 70% ของผลผลิตทั้งประเทศ และยังได้สร้างแบรนด์เฉพาะของตัวเองจนเป็นที่รู้จักไปทั่วอีกด้วย
การปลูกเฉาก๊วยจะเริ่มขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายนของทุกปี และเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคมของปีเดียวกัน “ช่วงเก็บเกี่ยวเฉาก๊วย จะตรงกับช่วงที่มีลมเดือนเก้าอันมีชื่อเสียงในซินจู๋ ซึ่งถือเป็นเครื่องอบแห้งตามธรรมชาติ” เฉินจิ้นสี่กล่าว ก่อนการเก็บเกี่ยว เกษตรกรที่มีสัญญากับสหกรณ์ จะต้องตรวจสอบสารเคมีตกค้างหลายรอบ เพื่อให้มั่นใจว่าเฉาก๊วยไม่มีสารตกค้างจากยาฆ่าแมลง จากนั้นจะตัดเฉาก๊วยที่ราก แล้วพลิกต้นขึ้นมาวางไว้บนแปลงนา แล้วปล่อยให้ลมเดือนเก้าพัดตากลมพอให้แห้งประมาณ 3-4 วัน เมื่อแห้งประมาณ 70-80% จึงนำเข้ามาในอาคาร เพื่ออบแห้งต่อจนแห้งสมบูรณ์
ทำไมต้องใช้ต้นเฉาก๊วยที่ตากให้แห้ง? เฉินจิ้นสี่ อธิบายว่า “เฉาก๊วยที่เก็บเกี่ยวและทำให้แห้งทันทีจะมีกลิ่นเหม็นเขียวของหญ้า จึงต้องตากลมเอาไว้สักพัก เพื่อปล่อยให้มันระบายกลิ่นออกไป และทำให้มันสุกงอมตามธรรมชาติ โดยจะดูดซับความชื้นจากอากาศ คล้ายกับการเก็บชาเก่า ด้วยการระบายอากาศตามธรรมชาติ เมื่อทิ้งไว้ประมาณสองปี ก็จะสุกมากขึ้น กลิ่นเหม็นเขียวจะหายไป และน้ำเฉาก๊วยที่ต้มออกมาจะหอมมากขึ้น”
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
เย่หย่งหมิงอธิบายว่า เซียนเฟิง หรือเถาหยวนหมายเลข 3 เป็นสายพันธุ์ใหม่ที่พัฒนาขึ้นโดยศูนย์พัฒนาการเกษตรฯ เพื่อตอบสนองความต้องการของเกษตรกร โดยมีคุณสมบัติเด่น คือ มีความสามารถในการสร้างเจลสูง มีกลิ่นหอม และให้ผลผลิตในปริมาณมาก
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
โรงงานแปรรูปเฉาก๊วยในกวนซีใช้กระบวนการสกัดน้ำเฉาก๊วยเข้มข้นด้วยไอน้ำแรงดันสูง
ชาชิวสุ่ยแห่งตระกูลหลัว ชาที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงของสังคม
เฉาก๊วยสามารถนำมาต้มเดี่ยว ๆ เพื่อทำเป็นน้ำเฉาก๊วยได้ แต่ในย่านเมืองเก่าของนครไทจง มีเครื่องดื่มสมุนไพรที่ถือเป็นตำนานมายาวนานกว่า 60 ปี นั่นคือ ชาชิวสุ่ยแห่งตระกูลหลัว (羅氏秋水茶) ซึ่งเป็นน้ำจับเลี้ยงสูตรผสมที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน
หลัวม่งจื่อ (羅孟芷) ทายาทรุ่นที่สามของตระกูลหลัว เล่าถึงภูมิลำเนาของครอบครัวที่มีถิ่นกำเนิดมาจากฮกเกี้ยน และมีอาชีพเป็นแพทย์แผนโบราณสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน แต่จู่ ๆ ก็เกิดการระบาดของโรคติดต่อ บรรพบุรุษของตระกูลคือ หลัวชิวสุ่ย ได้คิดค้นสูตรยาน้ำเพื่อแบ่งปันให้ชาวบ้านในละแวกนั้น ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาการระบาดของโรค จึงได้เกิดชื่อ “ชาชิวสุ่ย” ขึ้นมา
หลัวฮั่นผิง คุณปู่ของหลัวม่งจื่อ ได้อพยพมายังไต้หวันพร้อมกับรัฐบาลสาธารณรัฐจีน ก่อนจะมาตั้งถิ่นฐานในไทจง ท่านได้นำสูตรยาสมุนไพรของครอบครัวมาปรับให้เข้ากับสภาพอากาศของไต้หวัน โดยทำให้เหมาะสมกับทุกสภาพร่างกาย พร้อมทั้งเพิ่มชาอูหลงที่ปลูกบนเขาสูงของไต้หวันเข้าไปในสูตร “ชาวฮั่นมีความเชื่อเรื่องการบำรุงร่างกายด้วยอาหาร และในเปิ๋นเฉ่ากังมู่ (ตำราสมุนไพรจีน) ชายังถือว่าเป็นสมุนไพรที่ดีในการช่วยลดอาการร้อนในได้อีกด้วย” หลัวม่งจื่ออธิบาย
“ในขณะนั้น เศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว มีแรงงานจำนวนมากต้องทำงานกลางแจ้ง คุณปู่คิดว่าชาชนิดนี้เหมาะที่สุดสำหรับผู้ใช้แรงงานที่ต้องทำงานท่ามกลางแสงแดดจัด เพื่อช่วยดับร้อนและเติมความสดชื่น แต่เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายเป็นชนชั้นแรงงาน ราคาจึงต้องไม่สูงมากนัก ดังนั้นจึงเลือกใช้กลยุทธ์ขายในราคาถูก โดยเน้นการขายในปริมาณมาก”
ในช่วงแรก ชาชิวสุ่ยแห่งตระกูลหลัวฯ วางจำหน่ายผ่านร้านขายหมากริมถนน ผู้คนมักมารวมตัวกันที่ร้านหมากเพื่อพูดคุยและดื่มอะไรเย็น ๆ คลายร้อน หลัวม่งจื่อเล่าว่า คุณปู่หลัวฯ ที่เป็นผู้มองการณ์ไกลได้คิดค้นกลยุทธ์ที่ล้ำสมัยในยุคนั้น โดยสั่งผลิตตู้เย็นจำนวนหนึ่งและเจรจาตกลงกับร้านขายหมากเหล่านั้นว่า “ขอเพียงขายชาชิวสุ่ยในร้าน ก็จะให้ยืมตู้เย็นเพื่อแช่เครื่องดื่มอื่น ๆ ได้ด้วย” ด้วยวิธีนี้ คุณปู่สามารถขยายช่องทางการขายชาชิวสุ่ยไปยังร้านขายหมากกว่า 500 แห่งในไทจง แสดงให้เห็นถึงความเฉียบแหลมในด้านการตลาดของคุณปู่หลัวฯ
นี่คือชาที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ในช่วงแรกเริ่ม ชาชิวสุ่ยมีรูปแบบเป็นชาอัดก้อน ให้ลูกค้าซื้อกลับไปชงเองที่บ้าน ต่อมาเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไป ผู้คนเริ่มมองหาความสะดวกสบายและต้องการดื่มเครื่องดื่มสำเร็จรูป ชาชิวสุ่ยจึงเปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์แบบขวดแก้ว แต่การใช้ขวดแก้วมักจะมีปัญหาในการขนส่ง เพราะแตกง่ายและมีข้อกังวลด้านสุขอนามัย ในช่วงกว่า 30 ปีก่อน จึงเปลี่ยนไปใช้บรรจุภัณฑ์แบบถุงอะลูมิเนียมฟอยล์แทน แต่ถุงอะลูมิเนียมฟอยล์สามารถเก็บรักษาได้เพียง 5 วันเท่านั้น ต่อมาจึงได้มีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์แบบกระป๋องเปิดง่าย (Easy-open can) ที่สามารถเก็บรักษาได้นานถึง 2 ปี บรรจุภัณฑ์ที่แตกต่างกับกระบวนการที่ไม่เหมือนกัน ทำให้รสชาติเปลี่ยนไปเล็กน้อย
การใช้กระป๋องเหล็กเคลือบดีบุกแบบเปิดง่าย (Easy-open can) ต้องผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยอุณหภูมิสูง ซึ่งทำให้น้ำตาลทรายในชาชิวสุ่ยถูกความร้อนจนไหม้ ส่งผลให้รสชาติเปลี่ยนแปลงไป เพื่อแก้ปัญหานี้ ทางร้านจึงเปลี่ยนไปใช้น้ำตาลกรวดที่มีจุดหลอมเหลวสูงกว่าน้ำตาลทรายแทน
ส่วนผสมของชาชิวสุ่ยนั้นเรียบง่าย ประกอบด้วย มะระขี้นก, เฉาก๊วย, ฮอว์ธอร์น, เปลือกส้มแห้ง, ใบสะระแหน่ ที่ล้วนมีสรรพคุณช่วยดับร้อนและแก้ร้อนใน และเพิ่มชาอูหลงที่ปลูกในไต้หวันเข้าไปเพื่อเพิ่มรสชาติ แต่ความยุ่งยากอยู่ที่กระบวนการผลิต หลัวม่งจื่ออธิบายว่า หลังจากได้วัตถุดิบมาแล้ว ต้องแบ่งออกมาล้างทีละส่วน จากนั้นนำไปตากแดดในช่วงฤดูร้อน “ไม่เหมาะที่จะอบในเตาอบหรือใช้รังสีอินฟราเรด หรือแม้แต่การคั่วในเตาไฟฟ้า ต้องใช้วิธีตากแดดเท่านั้น หากไม่ตากแดด รสชาติจะเพี้ยนไป”
ดังนั้นวัตถุดิบทั้งหมดต้องเตรียมไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ฤดูร้อนของปีก่อน หลังจากฟังเรื่องราวเบื้องหลังจากหลัวม่งจื่อแล้ว เราจึงเข้าใจว่าการจะรักษารสชาติดั้งเดิมที่ต้นตระกูลได้คิดค้นเอาไว้ ต้องอาศัยความพยายามและความมุ่งมั่นมากเพียงใด
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
เฉาก๊วยยังสามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้ เช่น ซุปไก่เฉาก๊วย ทั้งนี้ ในภาพคือ หมี่เย็นเฉาก๊วย
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
ชาชิวสุ่ยของตระกูลหลัวคือตำนานแห่งเขตเมืองเก่าของไทจงที่สืบทอดกันมานานกว่า 60 ปี วางจำหน่ายในรูปแบบบรรจุภัณฑ์หลากหลาย เช่น ชาแบบซอง, แบบถุงฟอยล์ และ กระป๋องแบบเปิดง่าย
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
หลัวม่งจื่อโชว์ตู้เย็นที่คุณปู่ของเธอทำขึ้นในสมัยนั้น เพื่อให้ร้านขายหมากยืมไปใช้งาน ตอกย้ำถึงความเฉลียวฉลาดทางธุรกิจของคุณปู่ ที่ใช้วิธีนี้ในการกระจายสินค้าไปยังร้านขายหมากได้มากกว่า 500 แห่งทั่วเมืองไทจง
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
ชาวไต้หวันชื่นชอบเฉาก๊วยเป็นอย่างมาก จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์หลากหลาย เช่น น้ำเฉาก๊วยชนิดผงชงได้ทันที, ชาเฉาก๊วย, เฉาก๊วยแบบเยลลี่ และเฉาก๊วยต้มชนิดผงสำเร็จรูป
ดอกเฉาก๊วยบานสะพรั่ง
ตามโครงการ “หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์” ที่รัฐบาลไต้หวันได้เริ่มส่งเสริมในปี 1989 กวนซีได้เปลี่ยนเฉาก๊วยจากผลผลิตในท้องถิ่น ให้กลายเป็นสินค้าพื้นเมืองที่มีชื่อเสียง พร้อมกับพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์เฉาก๊วยหลายประเภท เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด และเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ให้มีความหลากหลายมากขึ้น
ท่ามกลางเสียงเครื่องจักรที่กำลังทำงานหนัก เฉินจิ้นซีพาเราเข้าไปในโรงงานแปรรูปเฉาก๊วย ในยุคก่อน การต้มเฉาก๊วยเป็นกระบวนการที่ต้องทำด้วยมือทั้งหมด ใช้เวลานานและใช้แรงงานมาก แต่ปัจจุบัน ขั้นตอนเหล่านี้ได้กลายเป็นแบบกึ่งอัตโนมัติไปแล้ว โดยใช้ไอน้ำเพื่อสกัดด้วยความดันสูง น้ำเฉาก๊วยที่ได้จากกระบวนการสกัดทั้งหมดจะถูกส่งผ่านท่อไปยังถังเก็บ จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการระเหยเพื่อลดปริมาณน้ำ กลายเป็นน้ำเข้มข้นในรูปแบบกึ่งสำเร็จรูป ซึ่งจะถูกใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตในขั้นตอนต่อไป
ปัจจุบัน สหกรณ์เกษตรกวนซีได้พัฒนาผลิตภัณฑ์จากเฉาก๊วยออกมามากกว่า 20 ชนิด โดยหนึ่งในสินค้าที่ได้รับความนิยมคือเฉาก๊วยชนิดผงที่สามารถชงได้ทันที ซึ่งในช่วงแรก ๆ ได้ประสานความร่วมมือกับศูนย์พัฒนาการเกษตรเถาหยวน และอาจารย์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่อตอบสนองการท่องเที่ยวในเขตตัวเมือง สหกรณ์ฯ ได้จัดงานเทศกาลดอกเฉาก๊วยในแหล่งปลูกเฉาก๊วยต่าง ๆ เช่น ที่เขตหยางเหมย ในนครเถาหยวนและ ต.สุ่ยช่าง เมืองเจียอี้ ซึ่งทุ่งดอกไม้สีชมพูม่วงที่สวยงาม กลายเป็นสถานที่ยอดนิยมในการไปถ่ายรูป ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างไปเยี่ยมชมและถ่ายภาพกันอย่างคึกคัก
หลัวหย่งหมิงหัวเราะและกล่าวว่า “เมื่อก่อนถ้าเห็นเฉาก๊วยออกดอก เกษตรกรรุ่นเก่ามักจะบ่นว่า เป็นอะไรที่สิ้นเปลืองเกินเหตุ แทนที่จะปล่อยให้มันออกดอก ทำไมไม่ขายเฉาก๊วยไปซะ?” เพราะหลังจากที่ต้นเฉาก๊วยออกดอก สารอาหารในลำต้นจะถูกส่งไปที่เมล็ด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรสชาติของเฉาก๊วย เมื่อเฉาก๊วยออกดอก ก็จะมีความโรแมนติกแอบแฝงอยู่ ดอกเล็ก ๆ สีชมพูม่วง มีรูปร่างคล้ายดอกลาเวนเดอร์ ทำให้ที่นี่กลายเป็นทุ่งดอกไม้ที่นักท่องเที่ยวมักจะนำไปเปรียบเทียบกับแถบโปรวองซ์ของฝรั่งเศส ความแตกต่างของเครื่องดื่มสีดำกับดอกไม้สีม่วงชมพู ก็อาจจะเป็นเสน่ห์อีกรูปแบบหนึ่งของเฉาก๊วยก็เป็นได้
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
สหกรณ์เกษตรกวนซีได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเฉาก๊วยขึ้นหลากหลายรูปแบบ
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
ดอกเฉาก๊วยที่บานเต็มที่จะมีสีชมพูม่วงอ่อนสุดโรแมนติก และกลายเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการถ่ายภาพเช็กอินบนโซเชียลมีเดีย (ถ่ายภาพโดย หลินเก๋อลี่)
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)