มุ่งใต้ด้วยใจอาทร
การลงทุนของไต้หวันในเวียดนาม จากเศรษฐกิจการค้าสู่บริการสุขภาพ
เนื้อเรื่อง‧ซูลี่อิ่ง ภาพ‧หลินหมินเซวียน แปล‧แสงชัย กิตติภูมิวงศ์
มิถุนายน 2024
นครโฮจิมินห์มีผู้คนรถราหนาแน่นอยู่เสมอ เรือในแม่น้ำไซ่ง่อนล่องไปลอยมา การจราจรบนถนนพลุกพล่านบ่งบอกถึงความมีชีวิตชีวาทางเศรษฐกิจของเวียดนาม
หลังผ่านพ้นยุคแห่งความมืดมนของสงครามที่ยาวนาน รัฐบาลเวียดนามผลักดันการปฏิรูปและเปิดประเทศในปี ค.ศ. 1986 ส่งผลให้เวียดนามกลายเป็นสวรรค์แห่งใหม่สำหรับนักลงทุนต่างชาติที่กรูกันเข้าไปพร้อมกับเงินลงทุนเพื่อการเริ่มต้นธุรกิจต่าง ๆ ทันที
ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจของเวียดนามได้ทะยานขึ้น ควบคู่กันกับการขยายตัวของนักธุรกิจชาวไต้หวันในเวียดนามที่มีมากถึง 80,000 ราย จาก 4,000 บริษัท ด้วยเงินลงทุนรวม 400,000 ล้านเหรียญไต้หวัน กล่าวได้ว่าไต้หวันเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในเวียดนาม
ในอดีต นักธุรกิจไต้หวันที่ลงทุนในเวียดนาม ส่วนใหญ่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานจำนวนมาก
เล็งเห็นโอกาส ปักฐานในเวียดนาม
“ก่อนที่ลูกชายผมจะเกิด ผมได้ผลิตรองเท้าอยู่แล้ว” หลังจากที่มาถึงโรงแรม Le Dinh ในเครือ Eternal Prowess Vietnam Group ซึ่งตั้งอยู่ชานเมืองนครโฮจิมินห์ ได้ฟังคุณหยวนจี้ฝาน (袁濟凡) ประธาน Eternal Prowess Vietnam Group ที่สละเวลามาบอกเล่าเรื่องการฝ่าฟันทำงานหนักในต่างถิ่นให้เราฟัง
“การที่ผมได้มาอยู่ที่นี่ ความจริงไม่ใช่แผนการที่กำหนดไว้” หยวนจี้ฝานกล่าว เขาเริ่มก่อตั้งกิจการที่นครไถหนานของไต้หวัน ในปี ค.ศ. 1975 ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทคือพื้นรองเท้ายางชั้นกลางและชั้นนอก ลูกค้าของบริษัทคือแบรนด์รองเท้ากีฬาต่างประเทศ เช่น Puma, Adidas เป็นต้น เนื่องจากไต้หวันมีพื้นที่น้อย ค่าแรงค่อนข้างสูง เพื่อแสวงหาผลกำไรเพิ่มขึ้น เขาจึงเกิดความคิดที่จะไปลงทุนในต่างประเทศ
ในช่วงนั้นเป็นยุคที่การขยายการลงทุนไปทางทิศตะวันตก ซึ่งก็คือการไปลงทุนในประเทศจีนกำลังเฟื่องฟู หยวนจี้ฝานได้ไปสำรวจทั้งในจีน อินโดนีเซีย ไทย กัมพูชา เป็นต้น โดยที่เวียดนามไม่ใช่ตัวเลือกแรกที่จะลงทุนในอาเซียน แต่ด้วยประชากรที่มากถึง 100 ล้านคน อายุเฉลี่ยเพียง 30 ปี ที่ดินกว้างใหญ่และค่าแรงต่ำ วัฒนธรรมคล้ายกับไต้หวัน เมื่อคำนึงปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้เขาตัดสินใจตั้งฐานการผลิตที่นี่
การพำนักระยะยาวในเวียดนามถือเป็นความบังเอิญที่งดงามในชีวิตของนักธุรกิจชาวไต้หวันหลายคน คุณเจี่ยนจื้อหมิง
(簡智明) ประธาน Ho Team Construction Corporation และประธานสมาคมการค้าไต้หวัน-เวียดนาม ซึ่งมาถึงเวียดนามในปี ค.ศ. 2007 กล่าวว่า "ในตอนนั้น ผมไม่ได้คิดว่าจะอยู่นานขนาดนี้" แทนที่จะบอกว่าเห็นศักยภาพในการพัฒนาในอนาคตของเวียดนาม ควรจะบอกว่าเป็นเพราะสัญชาตญาณทางธุรกิจที่เฉียบคม ทำให้พวกเขาพบเวทีในการแสดงศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่
เจี่ยนจื้อหมิงเล่าเท้าความอย่างละเอียดว่า หลังสำเร็จการศึกษาจากภาควิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่ National Cheng Kung University ในฐานะสถาปนิก เขาทำงานร่วมกับ Formosa Plastics Group ในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่น โรงพยาบาล Kaohsiung Chang Gung Memorial โรงพยาบาล Chiayi Chang Gung Memorial และโรงกลั่นน้ำมันในนิคมอุตสาหกรรมม่ายเหลียว และเขาเข้ามายังเวียดนามพร้อมกับการขยายธุรกิจของบริษัท Formosa Plastics Group
อุตสาหกรรมก่อสร้างเป็นอุตสาหกรรมที่พิเศษ กล่าวคือในพื้นที่ที่มีการพัฒนาน้อยจะมีโอกาสในการขยายตัวมาก เขาก่อตั้งบริษัทในเวียดนามใต้ที่ซึ่งมีนักธุรกิจไต้หวันรวมตัวกันมาก พร้อมกับกระแสการมุ่งใต้ของนักธุรกิจไต้หวัน และรับจ้างสร้างโรงงาน อาคารพาณิชย์ให้กับบริษัทไต้หวันต่าง ๆ เช่น Formosa Plastics, Kenda, Singtex and Shing Mark
หลังจากอยู่ในเวียดนามมานานกว่า 16 ปี ปัจจุบันบริษัทของเขาได้รับงานก่อสร้างมามากกว่า 180 โครงการ กิจการโตขึ้นจนมีพนักงาน 200 คน และทีมงานก่อสร้างอีก 3,000 คน และเพื่อตอบสนองการขยายตัวในภาคเหนือของเวียดนามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาได้จัดตั้งสาขาในเมืองไฮฟอง กล่าวได้ว่า เมื่อเศรษฐกิจของเวียดนามดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความกดดันในการแข่งขันก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน "แต่ในตอนนี้ เรามีรากฐานที่มั่นคงแล้ว" เจี่ยนจื้อหมิงกล่าวอย่างมั่นใจ
Eternal Prowess Vietnam Group มุ่งสู่ความเป็นเลิศ พัฒนาไม่หยุดยั้ง โรงงานที่สร้างใหม่ล้วนใช้พลังงาน
สีเขียวอัจฉริยะ
หยวนจี้ฝาน ผู้ก่อตั้ง Eternal Prowess Vietnam Group เล็งเห็นโอกาส
ในการลงทุน จึงตั้งฐานการผลิตในเวียดนาม
เจี่ยนจื้อหมิง ประธานบริษัท Ho Team Construction มาตั้งถิ่นฐานในเวียดนาม เพราะบุญพาวาสนาส่ง
รับผิดชอบต่อสังคมอย่างจริงจัง
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เวียดนามกลายเป็นจุดสำคัญสำหรับการลงทุนตามนโยบายมุ่งใต้ใหม่ของไต้หวัน สมัยก่อนตอนที่ผมอยู่ที่สนามบิน มักจะพบกับเพื่อนนักธุรกิจ พวกเขาถามผมว่า “ทำไมคุณจึงมาอยู่ในเวียดนาม” แต่ตอนนี้ เมื่อผมพบกับพวกเขา ผมจะพูดว่า “ในที่สุดพวกคุณก็มาอยู่ที่นี่กันแล้ว” หยวนจี้ฝานพูดอย่างตลกขบขัน
เวียดนามเป็นแหล่งลงทุนในต่างประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของไต้หวัน กล่าวได้ว่าไต้หวันเป็นหุ้นส่วนสำคัญทางเศรษฐกิจและการค้าของเวียดนาม ในความเป็นจริง หากนับรวมแหล่งเงินทุนนอกไต้หวัน คาดว่านักธุรกิจไต้หวันมีการลงทุนในเวียดนามเกินกว่า 6 แสนล้านเหรียญไต้หวัน ซึ่งมากเป็นอันดับ 2 รองจากเกาหลีใต้เท่านั้น บริษัทจากประเทศต่าง ๆ สนใจในธุรกิจที่ต่างกัน บริษัทเกาหลีใต้มีความเชี่ยวชาญในการสร้างอาคารสูง บริษัทญี่ปุ่นรับเหมาก่อสร้างสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ เช่น รถไฟความเร็วสูงและสนามบิน ส่วนไต้หวันเป็นสังคมที่มีผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมมากที่สุด โดยในยุคแรกที่เข้าไปลงทุนเป็นอุตสาหกรรมสิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ไม้ รองเท้าและจักรยาน แต่ช่วงไม่กี่ปีนี้ เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และธุรกิจด้านเทคโนโลยี ที่สร้างงานเพื่อหล่อเลี้ยงพนักงานและครอบครัวชาวเวียดนามมากมาย "ดังนั้น ถือว่านักธุรกิจชาวไต้หวันมีความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นอย่างมาก” หยวนจี้ฝาน ซึ่งมีพนักงานในบริษัทมากถึง 10,000 คน กล่าวเน้นถึงภาระอันหนักหน่วง
เมื่อพูดถึงความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร โรงพยาบาล University Medical Shing Mark น่าจะเป็นตัวอย่างดีที่สุด เนื่องจาก "เดิมทีจะเป็นโครงการที่จะสร้างโรงแรมระดับ 5 ดาว แต่สุดท้ายก็สร้างเป็นโรงพยาบาล"
เราเดินทางพร้อมกับคุณเจี่ยนจื้อหมิงไปยังโรงพยาบาล University Medical Shing Mark ที่สร้างโดย Ho Team ซึ่งโรงพยาบาลแห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนสายหลักแถบชานเมือง Dong Nai อาคารทรงโค้งขนาดใหญ่ดูสง่างาม เมื่อก้าวเข้าไปด้านในจะเห็นห้องโถงเพดานสูงที่ให้ความรู้สึกโล่งโปร่ง และยังมองเห็นห้องตรวจและหอผู้ป่วยได้ในทันที ซึ่งในเรื่องของการออกแบบมีการวางแผนพื้นที่ให้ความสะดวกต่อการใช้งาน แต่ดูแล้วหรูหราให้ความรู้สึกเหมือนก้าวเข้าไปในโรงแรม
เราได้รับการต้อนรับจากคุณจ้าวจงหลี่ (趙宗禮) ประธาน Shing Mark บริษัทเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย พวกเราเดินตามเขาเข้าไปในโรงพยาบาลที่มีพื้นที่กว้างขวาง นักธุรกิจผู้นี้ได้รับการขนานนามว่าเป็น "ผู้มีวิสัยทัศน์การลงทุนโดดเด่น และมีร่างกายแข็งแรงอย่างน่าทึ่ง" ท่าเดินคล่องแคล่วศีรษะตั้งตรง ใบหน้าสดชื่นแจ่มใส มองไม่ออกว่าเขาอายุเกิน 70 ปีแล้ว
"1/3 เป็นโรงพยาบาล 1/3 เป็นโรงแรม 1/3 เป็นโรงงาน" จ้าวจงหลี่สรุปสัดส่วนโรงพยาบาล University Medical Shing Mark ที่มีรูปลักษณ์โอ่อ่าหรูหรา ใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็งที่ผลิตโดย Shing Mark ดูแล้วราวกับเป็นโรงแรมระดับติดดาว เส้นทางการเดินภายในโรงพยาบาลมีความสะดวก เข้าใจง่าย โดยเป็นแนวคิดมาจากหลักการของโรงงาน มีเตียงรองรับผู้ป่วย 2,200 เตียง ห้องผ่าตัด 50 ห้อง และลิฟต์ 42 ตัว จัดเป็นโรงพยาบาลชั้นนำที่มีความสามารถทางการแพทย์สูงซึ่งหาได้ยากในเวียดนาม ทั้งนี้ โรงพยาบาลขนาดใหญ่ในแถบ Binh Duong และ Dong Nai มีเพียง 2 แห่งเท่านั้น คือโรงพยาบาลรัฐ Dong Nai และโรงพยาบาล University Medical Shing Mark แห่งนี้
จ้าวจงหลี่ ประธานบริษัท Shing Mark ก่อตั้งโรงพยาบาล Shing Mark
โดยมีจุดเริ่มต้นจากการเป็นผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้
มุ่งใต้ด้วยการแพทย์ การติดต่อรูปแบบใหม่
จ้าวจงหลี่เล่าถึงความเป็นมาของการก่อตั้งโรงพยาบาลว่า ในฐานะที่เขาเริ่มต้นธุรกิจด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ รวมทั้งมีความร่วมมือระยะยาวกับโรงแรมระดับโลก เช่น InterContinental, Park Hyatt และ Disney เดิมทีเขาจะขยายธุรกิจเข้าสู่กิจการโรงแรม แต่ในขั้นตอนการยื่นขอใบอนุญาต หน่วยงานเทศบาลแนะนำว่า : ทำไมต้องสร้างโรงแรมเพื่อรองรับคนรวยเท่านั้น คนในพื้นที่มีความต้องการโรงพยาบาลมากกว่า
การขอใบอนุญาตจัดตั้งโรงพยาบาลในเวียดนามเป็นเรื่องยาก มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน และโรงพยาบาล Chang Gung Memorial เคยพยายามแล้ว แต่ไม่สำเร็จ จ้าวจงหลี่ซึ่งมีการลงทุนในเวียดนามมายาวนาน ได้รับที่ดินและใบอนุญาตจากเทศบาลแล้ว แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องลงทุนมหาศาลถึง 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เขาใช้เงินทุนของตนเองทั้งหมดโดยคิดว่ากำไรไม่ใช่สิ่งสำคัญ เขากล่าวว่า “ผมสร้างรายได้จากท้องถิ่น จึงควรทำประโยชน์ให้ท้องถิ่น” เมื่อมองดูรูปลักษณ์สง่างามของโรงพยาบาล เขารู้สึกพอใจมาก "ในที่สุด ผมก็ไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง"
ป้อมปราการทางการแพทย์แห่งนี้เปิดดำเนินการในช่วงที่โรคโควิด-19 แพร่ระบาดอย่างหนัก เราได้สัมภาษณ์คุณจางอู่ซิว (張武修) อดีตรองผู้อำนวยการโรงพยาบาล Shing Mark ซึ่งบริหารงานในช่วงนั้น และต้องเผชิญกับความยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง
จางอู่ซิว เป็นนักวิชาการด้านสาธารณสุข เคยเป็นตัวแทนในการติดต่อกับองค์การอนามัยโลก (WHO) ในฐานะที่ปรึกษาของกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการไต้หวันในช่วงการระบาดของโรคซาร์ส ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2021 เขาเดินทางมารับตำแหน่งรองผู้อำนวยการ และเป็นการเติมเต็มความใฝ่ฝันที่ต้องการประกอบวิชาชีพด้านการแพทย์ในต่างประเทศ
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2021 โรคโควิด–19 ปะทุขึ้นในเวียดนาม ในตอนแรกผู้คนต่างตื่นกลัว รู้สึกสับสน ชีวิตของผู้ติดเชื้อเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย การจัดหายา เวชภัณฑ์และวัคซีนไม่ใช่เรื่องง่าย นักธุรกิจชาวไต้หวันได้รวมพลังสามัคคีช่วยเหลือซึ่งกันและกัน บางคนบริจาคทรัพย์ บางคนออกแรงให้การสนับสนุน ในฐานะศูนย์การแพทย์ที่สำคัญในท้องถิ่น โรงพยาบาล Shing Mark เป็นหนึ่งในสถาบันแรก ๆ ที่ได้รับยาของบริษัทเมอร์ค และยาเรมเดซิเวียร์ เป็นต้น รวมถึงได้รับวัคซีนโมเดอร์นาและไฟเซอร์ จึงสามารถช่วยชีวิตผู้คนได้นับไม่ถ้วน
ปัจจุบัน จางอู่ซิวดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศของโรงพยาบาล Chang Bing Show Chwan Memorial Hospital เขาเดินทางไปมาระหว่างไต้หวันและเวียดนามบ่อยครั้ง มีบทบาทในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับต่างประเทศอย่างแข็งขัน ในฐานะผู้ช่ำชองในวงการ เขากล่าวว่าความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ของไต้หวันอยู่ในระดับสุดยอด คนในวงการควรก้าวลงจากหอคอยงาช้าง และจะต้องเชื่อมโยงกับต่างประเทศ จึงจะยกระดับความสามารถในการแข่งขันได้
ความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นผลดีต่อการยกระดับมาตรฐานการแพทย์ของเวียดนาม และเป็นแรงขับเคลื่อนให้การแพทย์ของไต้หวันมีความก้าวหน้ามากขึ้น การก่อตั้งโรงพยาบาล Shing Mark ถือเป็นการมุ่งใต้รูปแบบใหม่ที่มีการขยายตลาดด้านการแพทย์ไปต่างประเทศ "ไม่ใช่เพียงการแลกเปลี่ยนทางการแพทย์เท่านั้น แต่ยังเป็นการถ่ายทอดความเชี่ยวชาญทางการแพทย์อย่างเป็นระบบและครบถ้วนด้วย" จางอู่ซิวกล่าว
ในความเป็นจริงแล้ว ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นที่สุดระหว่างไต้หวันและเวียดนาม ยังคงเป็นเรื่องของเศรษฐกิจและการค้า ชาวไต้หวันเข้าไปในเวียดนามด้วยความกล้าและมีกลยุทธ์ที่ดี ด้วยความตื่นตัวและความอุตสาหะที่ทำให้พวกเขาปักหลักในเวียดนามได้ ความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจได้กระตุ้นให้เกิดปฏิสัมพันธ์ในด้านอื่น ๆ ในการติดต่อแลกเปลี่ยนระหว่างไต้หวัน-เวียดนาม ซึ่งยังครอบคลุมไปจนถึงการมีน้ำใจเผื่อแผ่ ด้วยจิตใจเอื้ออาทรที่ลึกซึ้งและอบอุ่นด้วยเช่นกัน
จางอู่ซิว ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการโรงพยาบาล Shing Mark ผ่านประสบการณ์แห่งความยากลำบากในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19
โรงพยาบาล Shing Mark ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวาง มีความหรูหราราวกับโรงแรมระดับติดดาว
พยาบาลกำลังอยู่ในสนามสอบ บรรยากาศอันคึกคักนี้ แสดงให้เห็นถึงความมีชีวิตชีวาของเวียดนาม