โฮสเทลตอบโจทย์ การท่องเที่ยวแบบเจาะลึก
จุดเริ่มต้นการเดินทางในไต้หวัน
เนื้อเรื่อง‧หลี่อวี่ซิน ภาพ‧จวงคุนหรู แปล‧เจนนรี ตันตารา
ธันวาคม 2024
โฮสเทลไม่ได้เป็นเพียงสถานที่พักผ่อนสำหรับนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อที่จะนำพาพวกเขาไปสำรวจ
มุมต่าง ๆ ของเมืองอย่างลึกซึ้งอีกด้วยA
โฮสเทล ช่วยให้เหล่านักท่องเที่ยวสามารถพักผ่อนในเมืองแห่งหนึ่งชั่วคราวด้วยราคาประหยัด เพื่อสัมผัสกับลมหายใจของผืนดินต่างถิ่น สัมผัสกับความมั่งคั่งของวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สั่งสมต่อเนื่องกันมา และสร้างความสัมพันธ์กับดินแดนที่มีชื่อว่า “ไต้หวัน”
ภาพสเก็ตช์ที่วาดด้วยปากกาลูกลื่นหลายภาพซึ่งแขวนอยู่บนผนังสีขาว คือภาพที่บันทึกบรรยากาศในช่วงต่าง ๆ ของพื้นที่ส่วนกลางของสตาร์โฮสเทล (Star Hostel) โดยจิตรกรผู้รังสรรค์ผลงานเหล่านี้ ก็คือแขกทุกคนที่เคยเข้าพักที่นี่
ยกบ้านสไตล์ไต้หวันมาตั้งอยู่ในโฮสเทล
กระจกบานใหญ่ถูกออกแบบมาราวกับเพื่อรวบรวมแสงแดดทั้งหมดของไทเปมาให้เหล่านักท่องเที่ยว บ้านไม้ที่ถูกสร้างขึ้น ในพื้นที่ส่วนกลางของโฮสเทล ประดับด้วยต้นไม้สีเขียว ทำให้นักท่องเที่ยวที่นั่งพักในนั้น รู้สึกราวกับอยู่ในเรือนกระจกที่ถูกโอบล้อมไปด้วยแสงแดดอุ่น ๆ จอยซ์ ที่ปรึกษาด้านการจัดการของสตาร์โฮสเทล เปิดเผยว่า บ้านไม้ที่มักจะถูกนำมาวาดเป็นภาพสเก็ตช์เหล่านี้ ถูกออกแบบโดยอ้างอิงจากสถาปัตยกรรมของไต้หวันในช่วงทศวรรษที่ 1940 และ 1950 สร้างขึ้นจากไม้ ซีดาร์รีไซเคิล และปูพื้นด้วยเสื่อทาทามิที่ผลิตโดยช่างชาวไต้หวัน
บรรยากาศในพื้นที่ส่วนกลางของโฮสเทลอื่น ๆ ส่วนใหญ่ให้ความรู้สึกครึกครื้น แต่ที่สตาร์โฮสเทลแตกต่างออกไป ที่นี่ไม่เพียงเปิดพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวได้เสวนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันอย่างอิสระ แต่ยังใช้ประโยชน์จากโครงสร้างบ้านไม้ที่ทับซ้อนกัน ออกแบบมุมลับที่เรียกว่า hideaway corners เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่ต้องการความเป็นส่วนตัว มีแรงจูงใจในการเข้ามาใช้พื้นที่ส่วนกลาง
ในช่วงบ่าย ผู้เข้าพักจะแต่งกายสบาย ๆ สวมรองเท้าแตะเดินไปมา เป็นบรรยากาศที่พบเห็นได้ทั่วไป จอยซ์ เล่าว่า ทางโฮสเทลจะขอให้ผู้เข้าพักเปลี่ยนมาสวมรองเท้าแตะตั้งแต่ตอนเช็กอิน “เพราะนี่คือนิสัยของคนไต้หวัน ส่วนการออกแบบให้มีบ้าน ในบ้าน ก็เป็นการยกเอาบ้านสไตล์ไต้หวันเข้ามาอยู่ในโฮสเทล เพื่อให้นักท่องเที่ยวทุกคนสามารถพักผ่อนที่นี่ได้อย่างผ่อนคลาย”
หลังฝนตกในช่วงบ่าย นักท่องเที่ยวมานั่งล้อมวงกันที่โต๊ะเตี้ย ๆ ในพื้นที่ส่วนกลาง แชร์ของกินเล่นไต้หวันที่ซื้อมาจากร้านข้างทางร่วมกัน
มองไทเปจากมุมที่หลากหลาย
โฮสเทลแห่งนี้ตั้งอยู่ในย่านการค้าด้านหลังสถานีรถไฟไทเป ห่างจากรถไฟฟ้าสายสนามบินเพียงสิบกว่านาที ตรอกซอกซอยในย่านนี้ มีป้ายร้านค้าเก่า ๆ ที่เขียนด้วยลายมือพู่กันจีน เช่น ร้านขายผลิตภัณฑ์ยาง ร้านขายอุปกรณ์เย็บปักถักร้อย ร้านขายโลหะภัณฑ์ เป็นต้น ยังมีอาหารท้องถิ่น เช่น ซี่โครงหมูทอดกรอบ หวานเย็นโบราณโบ๊กเกี้ย (ในไต้หวันเรียกว่าหวานเย็นหมี่ไถมู่ปิง 米苔目冰) ขนมเปี๊ยะพริกไทยดำ ฯลฯ ซ่อนตัวอยู่ในซอย เป็นระยะทางที่สามารถเดินไปถึงจากโฮสเทล นอกจากนี้ ยังมีตลาดกลางคืนและโบราณสถานในละแวกที่สามารถเดินถึงได้เช่นกัน
ทางโฮสเทลจึงใช้ข้อได้เปรียบนี้ พานักท่องเที่ยวไปสำรวจตลาดกลางคืนหนิงเซี่ย เส้นทางเดินเขาที่อยู่ใกล้เคียง รวมถึงตลาดสดแบบดั้งเดิมที่มีแต่คนในพื้นที่เท่านั้นที่รู้จัก เป็นการเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวกรุงไทเปแบบเจาะลึกผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า
จอยซ์ เล่าว่า พวกเขาได้แนะนำให้นักท่องเที่ยวที่เพิ่งมาไทเปเป็นครั้งแรก ได้รู้จักมิติอื่น ๆ ของเมืองนี้ที่เป็นมากกว่ามหานคร ผ่านมุมมองอันหลากหลายของสมาชิกในทีมโฮสเทลแต่ละคน “พวกเราหวังว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะใช้โฮสเทลเป็นจุดเริ่มต้นในการทำความรู้จักกับไทเป ต่อยอดสู่การออกเดินทางไปยังสถานที่อื่น ๆ ในไต้หวัน”
ภาพสเก็ตช์ที่แขวนอยู่ในพื้นที่ส่วนกลาง ได้บันทึกบรรยากาศของห้องนั่งเล่นที่นักท่องเที่ยวได้เห็นในระหว่างการเข้าพักที่นั่น
หลับไปพร้อมกลิ่นอายหนังสือ
ไต้หวันมีเครือข่ายการคมนาคมที่สมบูรณ์และครอบคลุมทั่วทั้งเกาะ ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ อาทิ รถไฟหรือรถไฟความเร็วสูง เพื่อสำรวจเมืองต่าง ๆ ทั่วไต้หวัน หนึ่งในนั้นคือ นครไถหนาน เมืองโบราณอายุนับร้อยปี สถานที่ซึ่งราวกับเป็นการย่อส่วนประวัติศาสตร์ทั้งหมดของไต้หวันมาไว้ที่นี่
นอกจากนี้ ร้านกาแฟที่เปิดตั้งแต่ตีห้า ร้านบะหมี่ที่เปิดตั้งแต่ห้าทุ่ม หรือร้านขายอาหารท้องถิ่นที่ยืนยันจะหยุดทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ ต่างก็เป็นการสะท้อนให้เห็นตัวตนของคนไถหนาน ทำให้ผู้คนต่างถิ่นที่เข้ามา กลมกลืนไปกับวิถีชีวิตท้องถิ่นที่นี่ไปโดยปริยาย
เฉ่าจี้ (草祭) ร้านหนังสือมือสอง ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามร้านหนังสือที่มีสไตล์เป็นของตัวเองที่สุด ได้ถูกจวงอวี่เพ่ย (莊羽霈) กับโจวหรงถัง (周榮棠) สองสามีภรรยารับช่วงต่อในปี ค.ศ. 2017 โดยพวกเขายังคงสืบทอดความทะนุถนอมที่มีต่อหนังสือของคุณไช่ฮั่นจง (蔡漢忠) อดีตเจ้าของร้าน และแปลงโฉมเป็นโฮสเทลที่มีชื่อว่าเฉ่าจี้บุ๊ก อินน์ (CaoJi Book Inn) ในปัจจุบัน
ชั้นหนังสือที่ทอดยาวตลอดทางเดินไปจนถึงหน้าล็อบบี้ เปรียบเสมือนอ้อมแขนที่คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวเข้าสู่โลกแห่งหนังสือ ที่นี่มีหนังสือสะสมมากกว่าห้าหมื่นเล่ม
แขกที่เข้าพักต้องเปิดชั้นวางหนังสือชั้นนอกออก แล้วเดินเข้าไปในชั้นวางหนังสืออีกชั้นเพื่อหาที่นอนของตัวเอง จวงอวี่เพ่ยเล่าว่า เคยมีแขกที่มาพักบรรยายถึงกระบวนการ เช็กอินที่นี่ว่า เหมือนมาถึงโลกแห่งเวทมนตร์ แต่เมื่อนอนลงบนเตียงที่รายล้อมไปด้วยชั้นหนังสือ กลิ่นหอมของไม้และกลิ่นหนังสืออ่อน ๆ ที่ลอยอบอวลอยู่ข้างหมอน กลับเป็นสิ่งที่สัมผัสได้จริง
้นหนังสือที่ทอดยาวจากชั้นใต้ดินไปจนถึงชั้นหนึ่ง และอาร์ตแกลเลอรีที่ถึงแม้จะซ่อนตัวอยู่ใต้โครงเหล็กไขว้กันเป็นตาราง ล้วนเป็นความโดดเด่นซึ่งมีมาตั้งแต่ในยุคที่เฉ่าจี้ยังเป็นร้านหนังสือ
เตียงสองชั้นที่ออกแบบมาเหมือนหอพักนักศึกษา เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของ โฮสเทล
จวงอวี่เพ่ยออกแบบชั้น 1 ของเฉ่าจี้โฮสเทลให้เป็นพื้นที่สาธารณะ ต้อนรับ เพื่อน ๆ ที่รักหนังสือเช่นเดียวกับเธอ ให้เข้ามาอ่านหนังสือในร้าน
ความอบอุ่นภายใต้กฎเกณฑ์ที่เข้มงวด
ขณะที่โฮสเทลส่วนใหญ่จะออกแบบพื้นที่ส่วนกลางไว้ชั้นล่าง เฉ่าจี้โฮสเทลกลับเปิดชั้นหนึ่งให้เป็นพื้นที่สาธารณะ คอยต้อนรับผู้คนที่เดินผ่านไปมาให้เข้ามาอ่านหนังสือ โดยมีเงื่อนไขเพียงข้อเดียวคือต้องอ่านหนังสืออย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงเต็ม
จวงอวี่เพ่ย อธิบายว่า “เพราะว่าทุกวันนี้ คนที่รักการอ่านน้อยลงทุกที ฉันจึงเห็นคุณค่าของคนที่รักการอ่านมาก ๆ” กฎเหล็กที่ดูเข้มงวดข้อนี้ แท้จริงแล้วได้ช่วยดึงดูดเหล่าผู้คนที่รักการอ่านหนังสืออย่างแท้จริง
เธอเล่าว่า ครั้งหนึ่ง มีเด็กคนหนึ่งเจอหนังสือภาษาต่างประเทศเล่มหนึ่งที่เขาชอบ จึงมาสอบถามว่าขอซื้อได้ไหม ด้วยความที่เธอไม่ขายหนังสือ เธอจึงชวนให้เด็กคนนั้นเข้ามานั่งอ่านและเลือกหนังสือในร้านก่อน หลังจากนั้น จึงถามความต้องการของเด็กคนนั้นอีกครั้ง และสุดท้ายเธอก็ได้ยกหนังสือเล่มนั้นให้เขาโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
เธอไม่ประนีประนอมในมาตรฐานที่กำหนดขึ้น โดยเชื่อว่ามีเพียงการเคารพซึ่งกันและกันเท่านั้น จึงจะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่พักอาศัยที่สะดวกสบายได้
สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้หลักการนี้ แท้จริงแล้วคือความใส่ใจที่เธอมีต่อแขกผู้เข้าพักทุกคน ยกตัวอย่างเช่น การเลือกใช้ราวม่านแบบไม้ที่เงียบกว่ารางแบบเลื่อน หรือการเลือกใช้ตู้ล็อกเกอร์แบบใส่รหัสหมุนล็อก ล้วนแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความพิถีพิถันในการสร้างสภาพแวดล้อมการพักผ่อนให้มีคุณภาพสูงสุด นอกจากนี้ จากประสบการณ์ส่วนตัวที่เธอเคยไปพักตามโฮสเทลอื่น ๆ เธอจึงจัดเตรียมถุงเล็ก ๆ ไว้ที่แต่ละเตียง เพื่อให้แขกทุกคนใช้สำหรับใส่ของใช้ส่วนตัว และสามารถอาบน้ำได้อย่างสบายใจ
ในพื้นที่ที่ดูเหมือนจะออกแบบตามใจชอบ แต่ทุกมุมกลับผ่านการจัดสรรอย่างเป็นพิถีพิถัน ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเฉ่าจี้โฮสเทลแห่งนี้ อาจมีแค่ที่นครไถหนานเท่านั้น
หนังสืออยู่ใกล้แค่เอื้อม ถุงลายสก็อตสีเขียวสลับขาวที่มีทุกเตียง ฯลฯ ช่วยให้แขกผู้เข้าพักที่เฉ่าจี้โฮสเทล ได้สัมผัสบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของนครไถหนาน
ตั้งตนเป็น “Hub” Wow Hostel ฮัวเหลียนหวังนำพานักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ไปสำรวจความเป็นไปได้อันไม่มีที่สิ้นสุดของฮัวเหลียน
จุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวที่ไม่มี จุดสิ้นสุด
“ถ้ากรุงไทเปคือจุดเริ่มต้นของการท่องเที่ยว ฮัวเหลียนก็คือจุดหมายปลายทาง” นี่คือคำพูดหนึ่งของเย่จี๋เหว่ย (葉集偉) ประธาน Wow Hostel ที่เมืองฮัวเหลียน บรรยายถึงภาพรวมของเหล่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางมาเที่ยวที่ฮัวเหลียน
เมืองที่ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออก ระยะทางจากเหนือจรดใต้มีความยาวประมาณ 150 กิโลเมตร ล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาตอนกลางและชายฝั่งทะเล เป็นที่รู้จักในด้านสถานที่ที่มีทิวทัศน์ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ เหล่านักท่องเที่ยวจำนวนมากที่มุ่งหน้ามายังเมืองฮัวเหลียน ก็เพื่อมาชื่นชมศิลปะที่พระเจ้ารังสรรค์ขึ้นเหล่านี้ แต่เย่จี๋เหว่ยกล่าวว่า “ฮัวเหลียนไม่ได้มีเพียงสิ่งเหล่านี้เท่านั้น”
เขายกมือขวาขึ้นและชูสามนิ้วเพื่อบอกวิธีการเที่ยวฮัวเหลียนที่แบ่งเป็นสามเส้นทางหลัก เส้นทางแรก จากตัวเมืองฮัวเหลียนขึ้นไปทางทิศเหนือ มีหาดชีซิงถันที่เชื่อกันว่าหากเรียงก้อนหินซ้อนกันเจ็ดก้อนจะนำมาซึ่งความโชคดี หรือโบสถ์คาทอลิกซินเฉิงซึ่งรวมมรดกทางวัฒนธรรมของสามศาสนาไว้ในที่เดียว อีกทั้งยังมีอุทยานแห่งชาติทาโรโกะที่ยิ่งใหญ่ตระการตา เส้นทางที่สอง หากมุ่งหน้าลงใต้ไปตามทางหลวงหมายเลข 9 จะพบกับศาลเจ้าจี๋อันชิ่งซิว (ChiAn ChingHsiou Temple) ศาลเจ้าในยุคอาณานิคมของญี่ปุ่นที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี หรือทะเลสาบหลี่อวี๋ถันที่รายล้อมไปด้วยภูเขาเขียวขจี และสวนวัฒนธรรมป่าไม้หลินเทียนซานที่ตำบลเฟิ่งหลิน (Lintianshan Forestry Culture Park) เส้นทางที่สาม บนทางหลวงหมายเลข 11 ซึ่งทอดยาวตามแนวเทือกเขาและแนวชายฝั่งทะเล
ระหว่างทาง นักท่องเที่ยวจะพบเห็นทัศนียภาพอันงดงามมากมาย อาทิ จุดชมวิวสือทีผิง (Shitiping) นาข้าวขั้นบันไดริมทะเลที่หมู่บ้านซินเซ่อ (Xinshe Rice Terrace) เส้นทางปีนเขาต้าสือปี๋ซัน (Dashibishan Trail) และจุดชมวิวหนิวซานฮูถิง (Niushan Huting) โดยมีมหาสมุทรอันกว้างใหญ่เคียงข้างอยู่ตลอดเวลา
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เย่จี๋เหว่ยพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ที่เที่ยวที่ไหนสนุก ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถบอกจนหมดได้ในเวลาสั้น ๆ ฮัวเหลียนก็ไม่ใช่ที่ที่จะเที่ยวได้ครบหมดภายในวันเดียว”
เมื่อก้าวเข้าสู่ Wow Hostel จะสัมผัสได้ถึงเอกลักษณ์ความเป็นไต้หวันที่เปี่ยมล้น
นอกจากเตียงสองชั้นแล้ว Wow Hostel ฮัวเหลียน ยังมีห้องพักสำหรับนักปั่นจักรยานพร้อมพื้นที่สำหรับเก็บจักรยานไว้ใต้เตียง
โฮสเทล เหมาะสำหรับทุกคน
เย่จี๋เหว่ยเชื่อว่า สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ มักเป็นแรงจูงใจที่ทำให้นักท่องเที่ยวอยากจะไปเยือนเมือง ๆ หนึ่ง ส่วนโรงแรมที่พัก เป็นเพียง “Hub” (ศูนย์กลางการเชื่อมต่อ) ที่ทำให้นักท่องเที่ยวได้มีที่พักผ่อนทั้งทางกายและทางใจขณะเดินทางเยือนดินแดนต่างถิ่น เขายังชี้ให้เห็นว่า จิตวิญญาณของแบ็คแพ็คเกอร์ที่เข้าพักในโฮสเทล มาพร้อมกับความปรารถนาที่ต้องการสำรวจฮัวเหลียนแบบเจาะลึก และการมาถึงของพวกเขา ก็ได้ช่วยเติมเต็มพลังแห่งความมีชีวิตชีวาให้แก่ฮัวเหลียนอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
เขายังเสริมว่า ในยุคปัจจุบัน โฮสเทลไม่ใช่ที่จำกัดเฉพาะกลุ่มคนหนุ่มสาวอีกต่อไป เย่จี๋เหว่ย วิเคราะห์ว่า หลังจากผ่านยุคการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน กลุ่มวัยกลางคน หรือแม้แต่กลุ่มผู้สูงอายุ ต่างเริ่มแสวงหาความเป็นวัยรุ่นในตัวเองกันอีกครั้ง
“ตอนเป็นวัยรุ่น ความบ้าคลั่งคือความไม่รู้ แต่ตอนนี้ เรากลับเอ็นจอยไปกับความบ้าคลั่งนั้น” เย่จี๋เหว่ยเชื่อว่า นักท่องเที่ยวกลุ่มวัยกลางคนจากทั้งในและต่างประเทศมาเที่ยวที่ฮัวเหลียน ก็เพราะไม่อยากสูญเสียเวลาชีวิตในช่วงครึ่งหลังไปเปล่า ๆ พวกเขาไม่ปฏิเสธที่จะนอนเตียงสองชั้นที่ต้องปีนขึ้นปีนลง แต่กลับรู้สึกโหยหาอดีตเป็นอย่างมาก “พวกเขาบอกว่า ในชีวิตนี้เคยพักในโรงแรมดี ๆ มาหลายแห่ง แต่ไม่เคยได้พักกับเพื่อนเก่า เพื่อนร่วมชั้นเรียนหรือเพื่อนร่วมงานเก่าเลย” เย่จี๋เหว่ยกล่าวเช่นนี้
ความรู้สึกเดียวกันนี้ อาจเหมือนกับสิ่งที่เย่จี๋เหว่ยคิดในตอนที่เขากลับบ้านเกิดในวัย 50 ปี เขามีความมุ่งมั่นในการเรียนรู้ในทุกศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นด้านอุตสาหกรรม การแพทย์ โหราศาสตร์ หรือการท่องเที่ยวล้วนไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา และเขายังมีโอกาสเดินทางไปทำงานทั่วโลก ปีนภูเขาสูงทั่วโลก และได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามในหลายประเทศ เขาจึงตระหนักว่า เขาไม่เคยแนะนำความงามของแม่น้ำและความมีชีวิตชีวาของป่าเขาไร่นาที่บ้านเกิดของตัวเองให้ชาวโลกได้รู้จักเลย เขาถอนหายใจพร้อมกับกล่าวว่า “ตอนนั้นผมเพิ่งค้นพบว่า ความงามที่แท้จริง อยู่บนเส้นทางที่ก้าวผ่านมา” ในปีนั้น เขาตัดสินใจกลับบ้านพร้อมกับลูกพี่ลูกน้องของเขา เพื่อสร้าง Wow Hostel ที่เมืองฮัวเหลียน และนี่อาจจะเป็นการเริ่มต้นชีวิตวัยรุ่นครั้งที่สองของเขาด้วยเช่นกัน
ยังคงกังวลว่าจะไปเที่ยวที่ไหนในไต้หวันอยู่หรือเปล่า? มาเถอะ เรามาใช้โฮสเทลเป็นจุดเริ่มต้นในการสำรวจความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัดของเมือง ร่วมสัมผัสกับความอบอุ่นของผู้คนในไต้หวัน และอนาคตที่ไม่มีจุดสิ้นสุดในชีวิตของคุณกันเถอะ
เย่จี๋เหว่ย ผู้ซึ่งเคยเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ สุดท้ายได้เลือกกลับมายังบ้านเกิดของตนที่เมืองฮัวเหลียน เพื่อแนะนำความงดงามของที่นี่ให้โลกได้รับรู้
เซี่ยจ้งฮุย ศิลปินชาวฮัวเหลียน วาดภาพช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นจากการล่องแก่งในน้ำเชี่ยวกรากบนผนังมุมหนึ่งของ Wow Hostel ให้ผู้เข้าพักที่มาจากทั่วทุกมุมโลก ได้ชื่นชมทิวทัศน์อันเป็นเอกลักษณ์ของไต้หวัน